Hotline::062-264-6563

เป็นการฝังเข็มกระตุ้นเลือดลม และเร่งอัตราการเผาผลาญตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่าตัดและพึ่งยาใดๆ
นอกจากการฝังเข็มแล้ว คนไข้จะได้เรียนรู้หลักโภชนาการตามศาสตร์การแพทย์แผนจีนตามธาตุของแต่ละบุคคลอีกด้วย ผลของการรักษาขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ควรเข้ามาตรวจและปรึกษากับคุณหมอก่อนค่ะ

โรคอ้วน คือโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายมีจำนวนไขมันอยู่ในร่างกายที่มากเกินไป ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆตามมา

ผลกระทบทางด้านร่างกาย เช่น ความดัน เบาหวาน หอบหืด ไขข้ออักเสบ โรคหัวใจ นอนกรน เป็นต้น

ผลกระทบของโรคอ้วนทางด้านจิตใจ เช่น ถูกผู้อื่นล้อจนเกิดความอับอาย ไม่มั่นใจ ซื่งสามารถพบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

สาเหตุของ โรคอ้วน

สาเหตุสำคัญ ที่ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักมากเนื่องจากการทานอาหารมากกว่าที่ร่างกายจำเป็น อาหารส่วนเกินนี้ เมื่อใช้ไม่หมด จะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน ไม่ว่าอาหารนั้น จะเป็นข้าว ขนม หรือเนื้อสัตว์ก็ตาม ถ้าทานมากเกินไป ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไขมันได้หมด และเก็บเอาไว้ในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้นาน ๆ น้ำหนักก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น ในต่างประเทศ ได้มีผู้ทำการวิจัยในสัตว์ทดลองหลายประเภท และในคน เพื่อหาสาเหตุของโรคอ้วน สรุปได้ดังนี้

  1. ร่างกาย (Body) เช่น กรรมพันธุ์ มีหลักฐานยืนยันว่า ถ้าทั้งพ่อและแม่เป็นคนอ้วนทั้งคู่ ลูกก็มักจะมีโอกาสอ้วนได้มากกว่าผู้ที่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่อ้วน การสำรวจในสหรัฐอเมริกา ปรากฎว่า ลูกจะมีโอกาสอ้วนได้ร้อยละ 80 ถ้าพ่อและแม่อ้วนทั้งคู่ ถ้าพ่อและแม่ คนหนึ่งคนใดอ้วน ลูกจะมีโอกาสอ้วนร้อยละ 40 ถ้าพ่อและแม่ไม่อ้วนทั้งคู่ ลูกจะมีโอกาสอ้วนเพียงร้อยละ 7 เท่านั้น
  2. สารหรือตัวการ (Agent) การเปลี่ยนแปลงสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เช่น ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ทำให้มีความอยากอาหารมากขึ้น เมื่อทานมากเกินความต้องการ น้ำหนักก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าปล่อยไว้ไม่รีบแก้ไข ก็ทำให้อ้วนได้ในที่สุด โรคภัยไข้เจ็บบางอย่าง ในสมองและระบบประสาท ที่เกิดขึ้นในสัตว์ทดลอง หรือในคน จะมีผลทำให้กินมากผิดปกติ และเป็นโรคอ้วนได้ง่าย การผ่าตัดหรือใช้สารเคมี ที่ทำอันตรายแก่สมองส่วนหน้า หรือต่อมใต้สมอง ก็ทำให้เกิดโรคอ้วนได้เช่นเดียวกัน
  3. สิ่งแวดล้อม (Environment) เช่น นิสัยการทานไม่ดี อิ่มแล้วก็ยังทานโน่นทานนี่ทั้งวัน หรือชอบทานอาหาร มีไขมันสูง อาหารมันจัด หวานจัด หรือทานมากแต่ออกกำลังกายน้อย หรือใช้แรงงานน้อย ภาวะทางเศรษฐกิจสังคม หรือขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ผู้ที่เป็นโรคอ้วนบางรายเกิดจากสภาพจิตใจไม่ปกติ เช่น ผิดหวังเรื่องรักใคร่ หรือพ่อแม่ไม่เอาใจใส่ เลยหาทางออกโดยการทานมากขึ้น ในเรื่องสิ่งแวดล้อมนี้ จะเห็นได้ว่าสาเหตุใหญ่ เกิดจากความเจริญทางวิชาการ และเทคโนโลยีด้านอาหาร และเกษตรกรรม ในระยะหลังนี้ มีการปรับปรุงคุณภาพของอาหาร คนทานอาหารมากขึ้น เพราะอาหารมีรูปลักษณะที่ชวนบริโภค และมีการคิดค้นเครื่องผ่อนแรงต่างๆ ทำให้คน ไม่ต้องใช้แรงงานมาก อาหารที่ทานเข้าไปในร่างกาย ถูกใช้น้อยกว่าปกติ คนจึงเป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น

 ข้อควรปฏิบัติในการลดน้ำหนัก

  1. ปรึกษาแพทย์ หรือผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการลดน้ำหนักโดยเฉพาะ เพื่อจะได้ทราบว่า สาเหตุของการเป็นโรคอ้วนนั้น เนื่องมาจากการทำงานของต่อมต่างๆ ผิดปกติ หรือนิสัยการกินไม่ดี แพทย์หรือผู้ชำนาญเรื่องนี้ จะเป็นผู้บอกว่า บุคคลนั้น ควรจะลดน้ำหนักมากน้อยเพียงใด กินอย่างไร และออกกำลังกายมาก/น้อยเพียงใด จึงจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  2. ชั่งน้ำหนักร่างกายอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง การชั่งน้ำหนักควรชั่งเวลาเดียวกันทุกครั้ง อย่าลืมว่า น้ำหนักร่างกาย เปลี่ยนแปลงตลอดวัน การชั่งน้ำหนักเวลาเดียวกันจะทำให้ทราบการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักโดยแท้จริง เวลาที่ดีที่สุด ในการชั่งน้ำหนัก คือ หลังจากตื่นนอน ทำความสะอาดร่างกายแล้ว ก่อนรับประทานอาหารเช้า
  3. ควรลดน้ำหนักทีละน้อย หรือค่อยเป็นค่อยไป จึงจะปลอดภัย การลดน้ำหนักฮวบฮาบ ในเวลาอันสั้น อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วย หรือถึงตายได้ ดังนั้นในสัปดาห์หนึ่ง ควรลดน้ำหนักไม่เกิน 0.5-1 กิโลกรัม ยกเว้นกรณีมีแพทย์เป็นผู้ควบคุมอย่างใกล้ชิด อย่าลืมว่า น้ำหนักร่างกายของคนเรานั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นในเวลา 1-2 สัปดาห์ การเพิ่มน้ำหนัก 10 กิโลกรัม ใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรือนับปี ดังนั้นการลดน้ำหนัก ย่อมยากที่จะทำสำเร็จภายใน 1-2 เดือน ในระยะแรกของการลดน้ำหนัก ต้องมีความอดทนพอสมควร ต้องรอคอยผล ใน 2-3 สัปดาห์แรกอาจยังไม่เห็นผล ต้องพยายามลดน้ำหนักต่อไป น้ำหนักจึงจะค่อยๆ ลดลงในอัตราสม่ำเสมอ โดยมากคนไข้มักหมดกำลังใจเสียก่อน เลยทำไม่สำเร็จ
  4. พยายามรับประทานอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดอาหารบางมื้อ คนทั่วไปชอบคิดกันว่า ถ้าอดอาหารเช้า จะทำให้น้ำหนักลดลง นับว่าเป็นความคิดที่ผิด นักโภชนาการ ได้ทำการค้นคว้าแล้วว่า อาหารมื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์ที่สุด เพราะร่างกายไม่ได้รับอาหาร มาเป็นเวลาหลายชั่วโมง จึงจำต้องได้รับอาหารที่ดีมาทดแทน เพราะถ้าเราอดอาหารเช้าแล้ว ธรรมชาติของร่างกาย จะทำให้รับประทานอาหารชดเชยมากขึ้นในมื้อต่อไป ควรทานอาหารทุกมื้อตามปกติ แต่ไม่ควรทานมื้อเย็นมากนัก และควรลดขนมหวาน หรือเครื่องดื่มที่มีพลังงานสูงก่อนเข้านอน เพราะหลังอาหารมื้อเย็น ร่างกายไม่ได้ออกแรงทำงาน อาหารที่รับประทานเข้าไป จะถูกเก็บสะสมไว้ ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ง่าย ถ้ารู้สึกหิว ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือนมอุ่น ๆ ที่ไม่มีไขมันสัก 1 แก้วก่อนนอน
  5. ควรแก้ไขนิสัยการบริโภคอาหารที่ไม่ดี เป็นต้นว่า ต้องทานแต่พอรู้สึกอิ่มเท่านั้น จากการค้นคว้าพบว่า แม่บ้านที่เป็นโรคอ้วน ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ ชอบทานจุบจิบอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้ตัวว่าอิ่มแล้ว เพราะเสียดายของ ไม่ต้องการให้อาหารเหลือ ควรหัดให้กระเพาะชินกับการจำกัดอาหารทีละน้อย ในที่สุดก็จะทานน้อยไปเอง ถ้ารู้สึกหิวก่อนถึงเวลาอาหาร ควรทานผลไม้ หรือดื่มน้ำผลไม้เท่านั้น หรืออาจใช้เครื่องดื่ม ที่ไม่มีครีมและน้ำตาลได้ นอกจากนี้ มีรายงานว่า ผู้ที่ทานอาหารรีบร้อน หรือเร็วมักอ้วนง่ายกว่าผู้ที่ทานช้า
  6. ควรออกกำลังกายควบคู่ไปกับการจำกัดอาหาร จากการสำรวจพบว่า นักเรียนหญิงที่เป็นโรคอ้วน มักไม่ชอบออกกำลังกาย ทั้งที่ทานอาหารเท่าเด็กปกติ การออกกำลังกาย ปฏิบัติได้ทุกเวลา เว้นแต่หลังอาหารใหม่ ๆ หรือก่อนนอน ทางที่ดีควรออกกำลังกายก่อนทานอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง นักวิทยาศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายเพียงวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน จะให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้มาก
  7. ไม่ควรอดนอน หรือลดชั่วโมงการพักผ่อนลง ควรพักผ่อนหลับนอนตามปกติ เพราะระหว่างลดน้ำหนัก ร่างกายมักอ่อนแอลง เป็นช่องทางให้เกิดโรคได้ง่าย ดังนั้นอาหารที่ทาน ถึงจะมีปริมาณน้อย ก็ต้องมีคุณค่าสูง และร่างกาย ก็ต้องการพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย
  8. เมื่อลดน้ำหนักได้สำเร็จ จนถึงระดับที่ต้องการแล้ว ต้องควบคุมน้ำหนักไว้ โดยต้องระมัดระวัง เรื่องการทานอาหาร และหมั่นออกกำลังกาย ถ้าไม่ควบคุมให้ดี น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นโดยง่าย
  9. ในต่างประเทศพบว่า การลดน้ำหนักเป็นหมู่ หรือเป็นกลุ่มนั้นทำได้ง่ายกว่าทำคนเดียว ดังนั้น ควรหาสมัครพรรคพวก แล้วแข่งกันว่าใครจะทำได้สำเร็จก่อน

ขั้นตอนการ ฝังเข็มลดความอ้วน ฝังเข็มกระชับสัดส่วน

  1. พบแพทย์เพื่อตรวจเช็คร่างกายและบันทึกข้อมูลส่วนตัวเพื่อทำประวัติ
  2. ถ่ายรูป  ชั่งน้ำหนัก  วัดสัดส่วน  เปลี่ยนชุดของทางคลินิกที่จัดเตรียมไว้
  3. ฝังเข็มกระตุ้นยับยั้งการทำงานของต่อมอยากอาหาร  เพื่อช่วยลดอาการอยากอาหาร และเพิ่มอัตราการเผาผลาญ
  4. นวดเร่งสะลายไขมันส่วนเกินควบคู่กับการใช้แสง Bio Light เพื่อช่วยผ่อนคลาย
  5. อบตัว เพื่อช่วยการไหลเวียนของโลหิตที่ดีขึ้น พร้อมกับช่วยขับน้ำออกจากร่างกายช่วยลดอาการบวมน้ำ (ตัวบวม) ช่วยขจัดคราบเหงื่อไคล
  6. รับประทานยาสมุนไพรจีนช่วยปรับความสมดุลของร่างกาย 60 วัน/คอร์ส ควบคู่กับการรับประทานอาหารเน้นประเภทโปรตีน เช่น นมถั่วเหลือง ไข่ เนื้อสัตว์

คอร์ส  20  ครั้ง  ใช้เวลาประมาณ  60  วัน

 

ข้อแนะนำ ฝังเข็มลดความอ้วน

  • ควรเข้าโปรแกรม 3 วันติดต่อกัน ในช่วงแรก
  • ควรเข้าโปรแกรมอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2  ครั้ง  ( ถ้ามีเวลามาวันเว้นวันจะดีมาก )
  • รับประทานยาสมุนไพรอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • หลังจบคอร์สการเข้าโปรแกรมฝังเข็มลดความอ้วน  ควรรับประทานยาสมุนไพรต่อเนื่องอีกประมาณ 3 – 6 เดือน  เพื่อรักษาระดับให้คงที่
ไป๋เฉ่า คลินิก

สนใจสามารถติดต่อนัดตรวจสุขภาพได้ทุกสาขาค่ะ

สาขาพระโขนง     088-566-6623
สาขานวลจันทร์    099-323-6269
สาขาราชพฤกษ์    093-969-2391
สาขาประชาชื่น     084-285-4663
สาขาเชียงใหม่ (รวมโชค)  091-566-1623

HotLine   : 062-264-6563
Line: @paichao

www.paichaoclinic.com
Facebk: Paichao.Clinic
IG: PaichaoClinic

author avatar
Channarong Kolitawong